Interview : ‘Pakorn’ (BNA Crew) Thai Graffiti Legend skip to Main Content

Interview : ‘Pakorn’ (BNA Crew) Thai Graffiti Legend

กับบทสัมภาษณ์ของเขา ที่จะมาเล่าถึงมนต์เสน่ห์เเละความเป็นมาของวงการกราฟฟิตี้ยุคแรกในเมืองไทย รวมไปถึงความเปลี่ยนเเปลงเเละพัฒนาการในผลงานของเขาจากจุดเเรกเริ่มจนถึงยุคนี้

จุดแรกเริ่มที่คุณมาสนใจงานกราฟฟิตี้ ?

มันเริ่มมาตั้งแต่ปี 1995 สมัยนั้นจะมีเพื่อนเอาสเก็ตบอร์ดมาจากเมืองนอก เพื่อนเขาก็มาชวนเราเล่นสเก็ต แล้วเราก็เห็นพวกแม็กกาซีนสเก็ตบอร์ด ที่จะมีรูปพวก park ต่างๆ มันก็จะมีงานพวกนี้เพ้นท์อยู่ เราก็สนใจ แล้วตอนนั้นเราก็เรียนศิลปะด้วย ก็คิดว่ามันก็น่าจะทำได้นะ ก็เลยไปซื้อสีมาลองทำดู แรกๆ ตอนนั้นอินเตอร์เน็ทมันก็ยังไม่มี เราจะดูงานจากแม็กกาซีน, ลายเสื้อยืด หรือพวกรูปงานบนแผ่นสเก็ตบอร์ด ซึ่งช่วงนั้นมันก็ถือว่าเป็นแฟชั่นอย่างนึงนะ มันเท่ห์ดี เราเล่นสเก็ตแล้วก็พ่นได้ด้วย ตอนนั้นเราจะดูลายเสื้อตัวแรกยี่ห้อ ‘No Fear’ แล้วเราก็เอาคำนี้มาพ่น พ่นในห้องตัวเองเลยตอนนั้น

จากแรกเริ่มที่คุณสนใจ ช่วงเวลานั้นคุณมองว่า กราฟฟิตี้’ คืออะไร ?

ช่วงนั้นเรามองว่ากราฟฟิตี้ต้องเป็นพวกแก็งค์ๆ หน่อย อยากพ่นตรงไหนก็พ่น แล้วเราก็ทำตาม ไปที่ไหนก็พ่นตรงนั้น ซึ่งเราก็คิดว่ากราฟฟิตี้ตอนนั้นก็น่าจะเป็นแบบนี้

ช่วงนั้นกราฟฟิตี้คงเป็นสิ่งที่ใหม่มากๆ เลยอยากให้คุณช่วยเล่าบรรยากาศต่างๆ ตอนนั้นของวงการนี้ในบ้านเราให้ฟังหน่อย ?

 คือยุคนั้นที่เราไปพ่น คนจะมองว่ามันสกปรก ไปขอตามบ้านใคร เขาก็ไม่ให้พ่น แต่ยุคนั้นมันก็จะมีอยู่งานๆ นึง พวกงานพ่นตามร้านเหล้า ซึ่งตอนนั้นจะมีไม่ค่อยเยอะ ซึ่งเราก็มาคิดว่ามันก็มีคนสนใจเหมือนกันนะ ก็เลยลองมาทำให้มันดูจริงจังมากขึ้น แต่ถ้าจะพูดถึงในวงการตอนนั้นนี่ ก็แทบจะนับคนได้เลยนะ ยุคนั้นผมรู้จักกับ ‘Gobland’ เขาก็จะเป็นกราฟฟิตี้ต้นฉบับแรกๆ ของบ้านเราเลยนะ หลังจากนั้นก็ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย แล้วก็จะมีพวกแข่งพ่นต่างๆ จะมีอยู่ตอนนั้นที่ทำให้เรามีชื่อเสียง เมื่อปี 2000 เป็นงานของเรดบลู อันดับ 1 เขาจะไปดูคอนเสิร์ตที่อังกฤษ ตอนนั้นเราได้ที่ 2 แต่ที่ 1 เขาสละสิทธิ์ไปคนนึง เราก็เลยได้ไปแทน

ในอดีตตอนนั้น มีการนัดกันไปพ่นหรือไปบอมบ์กันบ่อยมั้ย ?

ตอนนั้นเราก็จะใช้วิธีการโทรคุยกันมากกว่า แต่ตอนช่วงปี 2000 ก็เริ่มจะมีเว็บล่ะ จำชื่อไม่ได้เหมือนกัน ก็จะมีกลุ่มคนพ่นเริ่มเยอะ มีผู้หญิงด้วยนะ ชื่อ ‘Nasufa’ พวกกลุ่มก็จะมี ‘Pmt’ Crew มี ‘13 Crown’ ซึ่งเราก็จะรู้จักกันหมด แต่เราก็จะพ่นกับกลุ่มเราเงียบๆ เป็นกลุ่มที่เล่นสเก็ตด้วยกัน

ช่วงเวลาในอดีตตอนนั้น คุณใช้ชื่อแท็กเนมว่าอะไร ?

ตอนนั้นยังใช้แท็กว่า ‘LPK’ อยู่เลย มาจากคำว่า ‘ลาดปลาเค้า’ จนหลังๆ ก็มาใช้ชื่อตัวเองล่ะกัน ง่ายดี

เข้ามาที่ผลงานของคุณ ช่วงยุคแรกเริ่มทำด้วยสไตล์ไหน ?

ก็ทำเป็นฟอนต์ก่อนเลย คือยุคแรกๆ เราก็เดินตามสไตล์นี้มาก่อนแหละ มันเป็นแพทเทิร์นของมัน แล้วก็มาผสมผสานกับคาแรคเตอร์ ซึ่งตอนนั้นเราใส่รูปแบบต่างๆ ที่เราไปเจองานจากเมืองนอกมา ดูจากไอเดียของเขามาอีกที หลังจากนั้นเราก็มาพ่นเป็นรูปหมา เพราะเราชอบเลี้ยงหมาด้วย ก็เลยเอามาใช้เป็นคาแรคเตอร์ของเรา แต่หมาที่เราพ่นมันจะบ็องๆ  ผสมให้มันดูดุๆ หน่อย เพราะเมื่อก่อนเราเลี้ยงพันธุ์พิทบูลด้วย แล้วตอนนั้นก็เริ่มทำกราฟฟิตี้สไตล์ 3D ไปด้วย เพราะตอนนั้นเราไปเจองานของศิลปินเยอรมันคนนึงชื่อ ‘Daim’ ประมาณปี 2000 เราก็เริ่มลองทำดูบ้าง เพราะเอาจริงๆ เราเองก็เรียนพวกตกแต่ง ออกแบบภายในมา ก็ชอบอะไรที่มันมีมิติ ดูลึกๆ ก็เลยลองเอามาประยุกต์อยู่ จนมาตอนนี้เราก็ยังทำอยู่นะ แต่บางทีงานแบบนี้ลูกค้าก็จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ไม่เหมือนพวกคาแรคเตอร์ที่ลูกค้าจะอินมากกว่า

พอหลังจากนั้น คุณก็เริ่มมีแนวทางที่ชัดเจนและมีสไตล์ที่โดดเด่นจนถึงปัจจุบัน อธิบายถึงเรื่องราวเหล่านี้ให้ฟังหน่อยครับ ว่ามีสไตล์เป็นยังไงบ้าง ?

คือต้องเล่าก่อนเลยว่าช่วงยุคแรกเริ่มเลยเนี่ย เราก็ค่อนข้างฟรีสไตล์ คิดแบบอะไรได้ก็ทำเลย เพราะกราฟฟิตี้จริงๆ มันมาจากข้างถนน บางทีมันก็ไม่มีคอนเซปต์อะไรมากหรอก แล้วก็ค่อยๆ กลายมาเป็นคาแรคเตอร์หมาพิทบูล ซึ่งเป็นหมาที่เราเลี้ยงเอาไว้ 2 ตัว แล้วก็ตายไป ซึ่งความเฉพาะตัวของมันคือจะมี 3 ตา ซึ่งที่มาของมันเนี่ย มันเริ่มมาจากตอนนั้นเราไปวัดทิเบตที่อยู่ประเทศจีน มันเป็น symbol ที่เกี่ยวกับเทพเจ้าของที่นั่น ซึ่งมี 3 ตา เราก็เลยรู้สึกว่าขนาดคนยังมีเทพของคนเลย หมาก็น่าจะมีเทพของหมาบ้างนะ ก็เลยเอามาใช้

BNA Crew ?

อย่างตอนนั้นจะมีเพื่อนศิลปินชาวอังกฤษมาที่เมืองไทยชื่อ ‘Ebee’ พ่นเป็นสไตล์ 3D แล้วก็ชวนมาทำด้วยกัน จนเขาก็มาชวนเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มเขามั้ย เราก็โอเค ซึ่งกลุ่มนี้เขามาจากแถบอเมริกาใต้ เป็นกลุ่มกราฟฟิตี้ที่ใหญ่ มีเครือข่ายอยู่หลายประเทศ

ช่วงยุคนั้นพวกสื่อต่างๆ ที่สนใจกราฟฟิตี้ เยอะมั้ยครับ / งานประกวดเท่าที่จำได้ก็ถือว่าเยอะเหมือนกันตอนนั้น ?

ยุคนั้นพวกรายการทีวีจะเยอะเหมือนกัน อย่างเมื่อก่อนเคยทำงานประจำกับเพื่อนชื่อ ‘อาท’ 13 Crown ซึ่งตอนนี้เขาเสียไปนานล่ะ ทำฉากอยู่ในรายการ เวทีทอง และอีกหลายรายการเลยตอนนั้น เพราะช่วงนั้นก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดูใหม่เหมือนกันนะ สื่อพวกนี้ก็เริ่มสนใจ

ซึ่งในปัจจุบันนี้วงการกราฟฟิตี้ทุกวันนี้พัฒนาไปไกลมาก เปลี่ยนแปลงหลายอย่าง คือเรียกได้ว่าวัฒนธรรมในยุคอดีต อาจจะแตกต่างจากยุคนี้ค่อนข้างมาก ทั้งศิลปิน, ผลงาน, รูปแบบ, มุมมองต่างๆ, กำแพง หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ที่ซัพพอร์ทและรองรับการทำงานที่มีมากขึ้น คุณมีความเห็นยังไงบ้างครับ ในฐานะที่ทำมาตั้งแต่อดีตและเห็นวงการนี้ที่เริ่มจากศูนย์มาก่อน ?

คือถ้าเป็นเมื่อก่อน ในยุคที่เราหัดพ่นแรกๆ ต้องเป็นหัวไทย สีสเปรย์ Leyland แล้วก็มีไปขโมยพวกหัวน้ำหอม ซึ่งพวกนี้มันเอามาประยุกต์ใช้กับสีไทยได้ แล้วก็มีอยู่ช่วงนึงที่มีคนเอาหัวของนอกเข้ามา แต่มันจะใช้กับสีในบ้านเราไม่ได้ เราก็ต้องเอามาโมดิฟายใหม่ แล้วก็มีหัวของญี่ปุ่นซึ่งก็เสียบใช้ได้เลย หรือไม่พวกตัว adapter ที่เปลี่ยนจากหัวตัวเมียให้เป็นตัวผู้ จนมาในยุคนี้ ก็ต้องบอกว่ามีให้เลือกใช้หลายๆ ยี่ห้อ ทั้งแบรนด์ดังๆ หรือแม้กระทั่งแบรนด์ที่เพิ่งเกิดมาใหม่ก็เริ่มมีเยอะเลยเหมือนกัน

จนถึงตอนนี้กี่ปีแล้วครับ ที่เริ่มพ่นมา มุมมองและความคิดที่มีต่อกราฟฟิตี้ที่คุณทำเป็นยังไงบ้าง ?

ก็ประมาณ 20 กว่าปีแล้วนะ ส่วนมุมมองนั้นถ้าพูดถึงในเรื่องของสังคม เขาก็ค่อนข้างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ อารมณ์มันคงเหมือนเด็กช่างกลมาพ่นมั้ง แต่เอาจริงๆ มันก็เหมือนกันแหละ แต่พอมาถึงจุดๆ นึง คนเขาก็เริ่มยอมรับและเข้าใจมากขึ้น แล้วก็อย่างในยุคนี้เราจะเห็นงานรุ่นน้องฝีมือเก่งๆ เกิดขึ้นมาเยอะมาก ก็ทำให้เราแอคทีฟมากขึ้นนะ เพราะรุ่นใหม่ๆ ยุคนี้ก็ขยันและพัฒนาตัวเองกันตลอด ส่วนรุ่นเก่าๆ ก็ยังมีทำกันอยู่บ้างนะเช่น Gobland / Poyd แล้วก็อีกหลายๆ คน

อย่างงานในยุคนี้ของคุณ ด้วยสไตล์และเทคนิคแล้ว มันพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเป็นยังไงบ้าง ?

มันก็ยังคงสไตล์เดิมของเรามาตลอดนะ แต่บางทีในแง่ของงานที่ทำให้ลูกค้า กับคาแรคเตอร์แบบนี้ลูกค้าเขาก็อาจจะมองว่ามันดูโหดร้ายไปหน่อย เพราะงานเรามันจะไม่ได้น่ารักอะไรอยู่แล้ว ส่วนในแง่ของการทำงานเราก็ไม่ยึดสไตล์อะไรมากมาย ก็ทำตามอารมณ์ไป บางทีคาแรคเตอร์ บางทีก็ฟอนต์ หรือบางครั้งก็แล้วแต่หน้างานอีกที อย่างเวลาไปพ่นกันเยอะๆ เราก็จะดูคนอื่นๆ ว่าเขาจะทำงานอะไรกัน เราก็จะได้ทำงานของเราให้มันมีความสมดุลกัน

แล้วอย่างในระยะ 2-3 ปีมานี้ ผมเห็นคุณจะมีคาแรคเตอร์ที่เป็นงาน toy figure มาวางตามในสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่คุณไปพ่นมาอยู่ตลอด อะไรคือสิ่งที่คุณสนใจที่จะทำมัน ?

คือตุ๊กตาพวกนี้เราทำมาตั้งแต่ 6 -7 ปีแล้ว เมื่อก่อนชอบไปเดินคลองถม มันก็จะมีตุ๊กตาพวก Soft Vinyl ขายเยอะ เราก็ซื้อมาจับมาเปลี่ยนหน้า ลบออกหมด แล้วก็เอาหน้าหมาของเราใส่ไป เอามาลองตั้งดู อยู่มาวันนึงตอนไปเที่ยว เราก็เอาไปด้วยแล้วก็เอามาลองตั้งถ่ายดู มันก็เสมือนตัวแทนของเราอ่ะนะ แล้วก็เริ่มพัฒนามาเป็นตุ๊กตาที่เริ่มปั้นเอง สเกล 1 ต่อ 6 เหมือนคนจริงๆ

ช่วงนี้ผลงานของศิลปินในวงการบ้านเรายุคนี้ เป็นอย่างไรบ้างครับ เท่าที่คุณพอได้สัมผัสมา ?

ก็อย่างที่บอกแหละ เด็กรุ่นใหม่ๆ ฝีมือดีกันเยอะ เด็กเรียนศิลปะกันมากขึ้น สนใจในการทำงานด้านนี้กันเยอะ ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อน คนศิลปะมองกราฟฟิตี้กันคนละแบบเลยนะ อย่างเพื่อนเราเรียนตกแต่งมา ก็มาพูดว่ามึงมานั่งเพ้นท์อะไรเนี่ย ไร้สาระเปล่าวะ เพื่อนบางคนก็ทำออฟฟิส ทำงานกราฟิกใช้คอมพิวเตอร์กันหมด ซึ่งสมัยเราเรียน ก็เคยมีอาจารย์คนนึงเคยบอกว่า ‘ถ้าไม่เป็นคอม ก็เป็นควายนะมึง’ แต่เราก็ยังดักดานอยู่ เป็นควายก็ควายวะ แต่เดี๋ยวนี้คนที่ทำงานคอมก็กลับมาทำมือกันมากขึ้นนะ อย่างบางทีไปทำงานให้ลูกค้า แนะให้ติดอิงค์เจท ซึ่งเขาอยากได้งานเพ้นท์มากกว่า มันได้อารมณ์มากกว่า เราก็ดีใจนะ มันก็ยังมีคนชอบงานอะไรแบบนี้อยู่นะ คือไม่ต้องเนี้ยบหรอก ให้เห็นรอยทีแปรง เห็นสีเยิ้ม สีหยดบ้าง

จนในยุคนี้ คุณก็ยังคงมองวงการนี้อยู่ตลอด ผมเลยอยากรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณสนใจและอยากให้วงการพัฒนา ?

ตามมุมของเรา เราว่าตอนนี้วงการยังขาดคนสนับสนุน พวกผู้ใหญ่ต่างๆ แต่เมื่อปีที่ผ่านมาก็ถือว่ามีงานที่ได้รับการซัพพอร์ทจากผู้ใหญ่เยอะอยู่เหมือนกันนะ พวกงานตามต่างจังหวัดต่างๆ อย่างตอนนั้นเราไปเบตง คนก็ที่นั่นก็ชอบกันเยอะ

คุณยังคงคิดถึงอดีตตอนพ่นกับเพื่อนๆ หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นบ้างมั้ยครับ ถ้าเป็นไปได้คุณอยากพูดอะไรให้สำหรับวงการตอนนั้น ?

แน่นอนเลยในยุคนั้น มันเป็นอะไรที่ดูดิ้นรนสุดๆ  ทำขึ้นมาเองทั้งหมด อย่างสมัยนั้นคนที่โมดิฟายหัวเก่งๆ ก็จะเป็น ‘Dea’ เขาจะชอบทำหัวแปลกๆ อย่างรุ่นน้องผมตอนนั้นก็จะมี Zids ก็ถือว่าเก่งเลยนะ ซึ่งยุคนั้นเราคิดถึงมันตรงที่ทุกอย่างมันต้องสร้างขึ้นมาเอง สีสเปรย์ก็ของไทย แต่มันก็เป็นอะไรที่สนุกมากเลยนะตอนนั้น

//////////////////

Credit Artwork : Pakorn / Art Crimes / Nasufa / angelfire.com/art2/bai

Thank Interview : Pakorn

Follow Artist : Pakorn

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Back To Top